

วัดบัวผัน

ประวัติวัดและความเป็นมา
อาณาเขตและที่ตั้งวัด
วัดบัวผัน เป็นวัดราษฎร์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย
ตั้งอยู่เลขที่ ๗ หมู่ที่ ๒ แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร
อาณาเขต มีที่ดิน ๘ ไร่ ๒ งาน ๑๕ ตารางวา ทิศตะวันออกด้านหน้าวัด ยาว ๕๐ วา ติดคลองรางแม่น้ำ
ปัจจุบันเรียกว่า คลองบางมด ทิศตะวันตกด้านหลังวัด ยาว ๕๐ วา ทิศเหนือ ยาว ๒๐ วา ทิศใต้ ยาว ๖๐ วา

วัดบัวผันสร้างขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พุทธศักราช ๒๔๖๑ โดยมี นายผัน - นางบัว คล้ายน้อย เป็นผู้ถวายที่ดิน ๘ ไร่ ๒ งาน ๑๕ ตารางวา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๑ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ทรงพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๔ ให้กับวัดบัวผัน ซึ่งในขณะนั้น วัดบัวผันมีสิ่งปลูกสร้างคือ โบสถ์สร้างแบบสมัยเก่า ศาลาการเปรียญ และมีโรงเรียนปริยัติธรรม
แต่มาในสมัยปัจจุบันได้สร้างอุโบสถหลังใหม่แทนหลังเก่า ซึ่งเกิดการชำรุดทรุดโทรมหักพัง มีขนาดยาว ๒๒ เมตร กว้าง ๘ เมตร ๕๐ เซนติเมตร รูปแบบเป็นทรงไทยสมัยใหม่ มีช่อฟ้า ใบระกา หน้าบัน คันทวย หัวเสา ซุ้มประตูหน้าต่าง ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง ๑๐ ล้านบาท ภายในอุโบสถจุพระภิกษุสงฆ์ได้ประมาณ ๑๐๙ รูป และต่อมาได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๑




พระประธาน
พระประธานภายในอุโบสถวัดบัวผัน เป็นพระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิราบปางมารวิชัย มีชื่อเดิมคือ พระสมเด็จพระพุทธสุโขทัยวิไลรัตนเนาวรคุณมนียวไตรรัตน์ ต่อมาใช้ชื่อว่า พระสุวรรณปฏิมากร หรือชาวบ้านทั่ว ๆ ไป นิยมเรียกว่า หลวงพ่อดำ
พุทธลักษณะของพระสุวรรณปฏิมากร เป็นพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ผสมนวโลหะทั้งองค์ ประทับนั่งขัดสมาธิราบปางมารวิชัย ชาวบ้านนิยมเรียกว่าปางสะดุ้งมาร มีขนาดหน้าเพลากว้าง ๑.๑๐ เมตร สูง ๑.๕๐ เมตร ฐานเชิงสูง ๑๐ เซนติเมตร วัดจากฐานถึงยอดพระเกศสูง ๑.๖๐ เมตร เป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยยุคต้น พระพักตร์อูมรูปไข่ พระองค์อวบอ้วน พระขนงโก่ง สังฆาฏิเขี้ยวตะขาบจรดพระนาภี สร้างโดยพระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์ราชวงศ์พระร่วงสมัยสุโขทัย สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยพ่อขุนรามคำแหง โดยฝีมือช่างหลวงชั้นครู มีอายุประมาณ ๗๐๐ ปี
ความเป็นมาของหลวงพ่อดำ เมื่อพ่อขุนรามคำแหงมหาราชเสด็จสวรรคตแล้ว ก็ตกทอดมาถึงพระเจ้าเลอไทย ซึ่งครองราชสมบัติในกรุงสุโขทัย มีชื่อของหลวงพ่อดำปรากฏในศิลาจารึกวัดป่ามะม่วงว่า พระสุวรรณปฏิมากร จึงสันนิษฐานได้ว่าน่าจะเป็นองค์เดียวกับหลวงพ่อดำในอุโบสถวัดบัวผัน ต่อมาเมื่อปีฉลู พ.ศ. ๑๙๐๔ มีปรากฏในศิลาจารึกวัดป่ามะม่วงว่า พระยาลิไททรงออกบรรพชาต่อพระพักตร์หลวงพ่อดำ อันประดิษฐานอยู่ภายในพระราชมณเฑียร ซึ่งในพระราชมณเฑียรต้องกว้างขวางพอประมาณ ถ้าองค์เล็กจะไม่พอดีกับพระราชมณเฑียร เพราะฉะนั้นจึงสันนิษฐานได้ว่า พระสุวรรณปฏิมากรในสมัยสุโขทัย กับหลวงพ่อดำในอุโบสถวัดบัวผันคงเป็นพระพุทธรูปองค์เดียวกัน
หลังจากที่กรุงสุโขทัยเสื่อมลง พระยาไสยลือไทไม่สามารถจะรักษากรุงเอาไว้ได้ จึงตกเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยา ต่อมากรุงศรีอยุธยาถูกโจมตีและเสียให้กับพม่า เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ พม่าได้เผากรุงศรีอยุธยาเสียหาย พระเจ้าตากสินจึงได้กอบกู้เอกราชตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานี จนมาถึงกรุงรัตนโกสินทร์ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ทรงมีพระราชดำริให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารามต่าง ๆ ในกรุงเทพและธนบุรี โดยทรงโปรดเกล้าให้รวบรวมพระพุทธรูปโบราณตามหัวเมืองต่าง ๆ ที่ปรักหักพัง และได้รับความเสียหายจากการสงคราม มาไว้ที่กรุงเทพฯเป็นจำนวนมากถึง ๑,๒๔๘ องค์ ทรงแต่งเติมส่วนที่ชำรุดเสียหาย แล้วเก็บไว้ในระเบียงสองชั้นรอบพระอุโบสถวัดเชตุพนฯ

ศิลาจารึกวัดป่ามะม่วง
เป็นภาษาบาลีอักษรไทยสองหลัก
อักษรขอมหนึ่งหลัก ขุดพบเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๑ ที่วัดป่ามะม่วง
จังหวัดสุโขทัย
โดยพระยารามราชภักดี
(ใหญ่ ศรลัมน์) เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๑
ทั้ง ๒ อักษรว่าด้วยเรื่องราวของ
พระมหาธรรมราชาที่ ๑ ( ลิไท )

ภาพจำลองอุโบสถสองชั้น วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์)
จากนั้นจึงอัญเชิญไปประดิษฐานตามวัดต่าง ๆ ในกาลนั้นหลวงพ่อดำก็ได้รับการอัญเชิญลงมาพร้อมกันในคราวนี้ด้วย โดยครั้งแรกนั้นหลวงพ่อดำได้ถูกอัญเชิญมาอยู่ที่วัดบางขุนเทียนกลาง กรุงเทพมหานคร ต่อมาพระอธิการคล้อย เกิดกัณฑ์ ซึ่งในขณะนั้นจำพรรษาอยู่ที่วัดยายร่ม มีความประสงค์ที่จะสร้างวัดขึ้นมาอีกวัดหนึ่ง เพื่อที่ญาติโยมจะได้มีความสะดวกในการทำบุญ เนื่องจากในละแวกนั้นมีวัดไม่เพียงพอต้องเดินทางไกล เมื่อนายผัน นางบัว คล้ายน้อยทราบข่าว จึงมีจิตศรัทธาถวายที่ดินเพื่อสร้างวัด โดยได้รับความร่วมมือจากประชาชนช่วยกันสร้างจนสำเร็จในปี พ.ศ. ๒๔๗๓ และได้ตั้งชื่อวัดตามนามของผู้ถวายที่ดินว่า วัดบัวผัน ซึ่งตรงกับรัชสมัยในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อดำเนินการสร้างวัดจนสำเร็จลุล่วงแล้ว พระอธิการคล้อย เกิดกัณฑ์ ได้ย้ายมาจากวัดยายร่ม แล้วทำการสร้างอุโบสถ และเสนาสนะที่จำเป็นแก่พระสงฆ์ แต่ยังขาดพระประธานในอุโบสถ จึงขอไปที่วัดบางขุนเทียนกลาง วัดบางขุนเทียนกลางจึงให้อัญเชิญหลวงพ่อดำมาประดิษฐานเป็นพระประธานในอุโบสถวัดบัวผันเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๓ เหตุที่ชื่อว่าหลวงพ่อดำ เพราะทั้งองค์ของพระพุทธรูปลงรักดำไว้ทั้งองค์ หลวงพ่อดำเป็นที่เคารพ และสักการะบูชานับถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์มาก จนเป็นที่เล่าลือของชาวบ้านท่าข้าม และบางมดมาจนทุกวันนี้
